วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

การเพิ่มสัญญาณ Wi-Fi ด้วยกระป๋องเบียร์


สำหรับ คุณผู้อ่านที่รู้สึกว่า สัญญาณ Wi-Fi ของเราท์เตอร์ที่บ้านไม่แรงพอ ทดลองทำตาม 8 ขั้นตอนง่ายๆ ต่อไปนี้ดู บางทีอาจช่วยให้สํญญาณ Wi-Fi แรงขึ้นจาก 2 แท่งเป็น 4 - 5 แท่งเลยก็ได้ ที่สำคัญมันใช้แค่กระป๋องเบียร์ หรือกระป๋องเครื่องดืมน้ำอัดลมทั่วไปกับเครื่องไม้เครื่องมือไม่กี่ชิ้นเท่า นั้น นับเป็นไอเดียที่ฉลาดมากทีเดียว แถมยังประหยัดค่าใช้จ่ายอีกด้วย ว่าแล้วไปติดตามรายละเอียดการทำกันเลยดีกว่าครับ
1. ขั้นตอนแรกให้คุณเตรียมอุปกรณ์ และต้องใช้ ซึ่งประกอบด้วย กระป๋องน้ำอัดลมที่ทำจากอะลูมิเนียม กรรไกร คัทเตอร์คมๆ และดินน้ำมันกาว (Blu tack) ดังรูป
2. ทำความสะอาดกระป๋องด้วยน้ำสะอาดจนมั่นใจว่าไม่มีสิ่งสกปรกตกค้างอยู่ภายใน
3. ดึงวงแหวนที่ปากกระป๋องทิ้งไป
4. ใช้คัทเตอร์ตัดก้นกระป๋องออกไปดังรูป
5. หลังจากนั้นนำคัทเตอร์มาตัดอีกด้านหนึ่งของกระป๋อง (ด้านที่ดึงวงแหวนออกไป) แต่ต้องตัดไม่ครบวงรอบ โดยเหลือช่วงที่ไม่ตัดให้ขาดออกใกล้ๆ กับช่องที่ใช้ปากดื่ม ข้อสังเกตคือ ระยะที่ตัดพยายามให้อยู่ใกล้ขอบกระป๋องมากที่สุดดังรูป
6. นำกรรไกรมาตัดข้างกระป๋องเป็นเส้นตรง โดยตำแหน่งที่ตัดจะอยู่ตรงข้ามกับด้านที่ติดขอบกระป๋อง
7. ค่อยๆ ใช้มือกางกระป๋องที่ตัดให้กว้างออกมาคล้ายๆ กับจานเรดาร์รับสัญญาณ
8. ติดดินน้ำมันกาวที่ด้านล่างองกระป๋อง แล้วนำกระป๋องไปสวมลงบนเสาอากาศของเราทเตอร์ผ่านทางช่องที่ใช้ปากดื่ม โดยดินน้ำมันกาวจะยึดปากกระป๋องเข้ากับด้านบนของเราท์เตอร์ จากนั้นจัดตำแหน่งให้เหมือนในรูปข้างล่างนี้
หลัง จากทำเสร็จแล้ว ทดลองเปิดเราท์เตอร์ให้ทำงาน แล้วสังเกตแท่งสัญญาณที่แสดงบนทาสก์บาร์ของ Windows บนโน้ตบุ๊คของคุณ โดยพยายามหันด้านทีสะท้อนสัญญาณของเสามาให้ตรงกับโน้ตบุ๊ค ลองดูว่า แท่งสัญญาณจะเพิ่มขั้นหรือไม่? ขอให้คุณผู้อ่านของเว็บไซต์ arip ที่่ลองทำตาม สามารถเพิ่มสัญญาณ Wi-Fi ได้แรงขึ้นดังที่ใจต้องการ โดยทั่วกันนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

แนะนำการเลือกซื้อ Tablet ให้โดนใจที่สุด


จริงๆ แล้วเราได้เห็นได้ยินคนเรียกอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ว่า “แท็บเล็ต พีซี” มาสักประมาณเมื่อปี 2001 นู่นแล้ว ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆ กับคอมพิวเตอร์แล็บท็อปที่มีจอสัมผัส โดยใช้ปากกาพิเศษเป็นตัวสั่งการโดยกดปลายปากกาไปบนปุ่มโปรแกรมต่างๆ บนหน้าจอเพื่อสั่งการ หรือแม้กระทั่งเขียนไปบนหน้าจอเพื่อป้อนข้อมูลแทนการพิมพ์บนแป้นคีย์บอร์ด โดยใช้เทคโนโลยีในการวิเคราะห์ลายมือของเราแล้วแปลเป็นตัวอักษรอีกต่อหนึ่ง ซึ่งในยุคนั้น แท็บเล็ตพีซี ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Windows XP Tablet PC Edition แต่ผ่านไปสองสามปีกลับไม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดมากนัก จนผู้ผลิตต่างๆ เลิกวางแผนในการพัฒนาสินค้าประเภทนี้กันไป จนกระทั่งมาในปี 2010 ปีที่แล้วนี่เอง Apple ผู้นำในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ สู่โลกของเรา ก็ได้แนะนำสินค้าที่ชื่อว่า “iPad” ออกมาสู่ตลาด โดยใช้ระบบปฏิบัติการ iOS แบบเดียวกับที่ใช้บนโทรศัพท์สมาร์ทโฟนสุดฮิตอย่าง “iPhone” โดยเจ้าอุปกรณ์ iPad ที่เราเรียกกันง่ายๆ ในตลาดโดยทั่วไปว่า “แท็บเล็ต” (Tablet) หรือบางคนก็ชอบเรียกกันเล่นๆ ว่า กระดานฉนวน เสียอย่างนั้น(ฮา) ทำให้นึกถึงกระดานดำขนาดเล็กที่เราใช้ชอร์คเขียนข้อความกันอย่างนั้นเลย เพียงแต่ว่ายุคนี้ก็กลายเป็นกระดานฉนวนอิเล็คทรอนิคส์ไปเสียแล้ว โดยอุปกรณ์แท็บเล็ต “iPad” ก็มีลักษณะคล้ายกับ แท็บเล็ตพีซีในสมัยก่อน แต่ต่างไปตรงที่มีแต่หน้าจอ ไม่มีแป้นคีย์บอร์ดอีกต่อไป และใช้นิ้วมือคนเรานี่แหละในการสั่งงานผ่านหน้าจอสัมผัสได้โดยตรง โดยไม่ต้องมีปากกาพิเศษใดๆ อีกเลย ใช้ลักษณะแป้นคีย์บอร์ดแบบสัมผัสบนหน้าจอเพื่อใช้ในการป้อนข้อมูลได้โดยตรง สะดวกและง่ายดายมาก และจากนั้นอีกไม่นานก็มี แท็บเล็ต จากผู้ผลิตอื่นๆ ออกมาให้เลือกกันอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Android Tablet ซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการ Android เป็นตัวขับเคลื่อน Windows Tablet ก็ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 7 เป็นตัวหลัก ถ้าสรุปนิยามง่ายๆ สำหรับคำว่า “แท็บเล็ต” ก็คือคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่มีแต่หน้าจอสัมผัส ใช้การสั่งการโดยใช้ปลายนิ้วของเราในการควบคุม และป้อนข้อมูล
แท็บเล็ตวันนี้มีอะไรให้เลือกกันบ้าง
วันนี้มีแท็บเล็ตเจ้าตลาดอยู่ 5 ค่ายใหญ่ๆ ที่ออกสู่ตลาดมาแล้ว ลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้าง ในที่นี้ขอแยกออกเป็น OS
1. iOS จากค่าย Apple ซึ่งดูไปก็แน่นอนจะมีหน้าตาเหมือนกับการใช้ iPhone นั่นเอง เพราะถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ หรือ OS ตัวเดียวกัน โดยมีผลิตภัณฑ์หลักๆ ได้แก่ iPad ซึ่งออกมาแล้ว 2 รุ่น โดยในปีแรกก็คือ iPad ที่ปัจจุบันเลิกจำหน่ายกันไปแล้ว ส่วนรุ่นปัจจุบันก็คือ iPad 2 ที่มีออกมาให้เลือกกันถึง 3 ความจุของข้อมูล ได้แก่ 16 GB, 32 GB, 64 GB โดยมีทั้งแบบ 3G + WiFi กับรุ่นที่มีแต่ WiFi อย่างเดียว iPad ถือว่าเป็นแท็บเล็ตที่ได้รับความนิยมสูงสุดที่สุดในโลก โดยมีส่วนแบ่งการตลาดเกือบ 70% ในตลาดโลก ต้องบอกว่าฮิตสุดๆ ก็ว่าได้ และยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง จุดเด่นก็คือความง่ายในการงาน และรองรับแอพพลิเคชั่นมากมายกว่า 100,000 แอพพลิเคชั่นที่นักพัฒนาทั่วโลกต่างเทใจพัฒนาให้ใช้งานได้กับ iPad ก่อนที่จะทำให้กับแท็บเล็ตตัวอื่นๆ ปัจจุบันเวอร์ชั่นที่ขายกันอยู่ก็คือ 4.3.5 และเร็วๆ นี้ในเดือนหน้า ทาง Apple ก็มีแผนที่จะอัปเกรดไปสู่เวอร์ชั่น 5 ที่มีความสามารถมากมายขึ้นอีกเพียบ น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็มีข้อเสียอยู่ในเรื่องของการจัดการไฟล์ต่างๆ ที่ค่อนข้างยุ่งยากในการโอนเข้า หรือถ่ายออกเมื่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะต้องใช้ผ่านโปรแกรม iTune เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

2. Android OS จากค่าย Android นั่นเองที่ล่าสุดก็มีเวอร์ชั่นที่พัฒนามาเพื่อใช้เป็นแท็บเล็ตอย่างแท้จริง นั่นก็คือ Android OS 3.0 Honeycomb ก่อนหน้านี้มีการนำเอา Android V.2.2 มาสร้างเป็นแท็บเล็ต และฮิตกันอย่างมากมายอย่าง Samsung Galaxy Tab แต่ก็ต้องบอกว่ายังไม่นับรวมเป็น Android แท็บเล็ตอย่างเป็นทางการ จนกระทั่งเป็นเวอร์ชั่น 3.0 ขึ้นไป ซึ่งเริ่มกันที่ Motorola Xoom ที่ออกไปตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา ข้อดีของ Android แท็บเล็ตนั้นก็คือการนำไปใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ค่อยมีข้อห้ามมากนัก สามารถต่อเชื่อมอุปกรณ์ผ่านทางพอร์ตต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย รวมถึงการต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์เพื่อการถ่ายโอนไฟล์ต่างๆ หรือไฟล์เพลง วิดีโอ ก็ทำได้ง่ายๆ เสมือนต่อเชื่อมกับ Thumb drive เลยทีเดียว อีกอย่างก็คือ มีผู้ผลิตระดับโลกสนับสนุนอยู่มากมาย ได้แก่ Samsung, HTC, LG, Motorola, Acer, Dell, Huawei, ZTE, Viewsonic และอีกมากมาย ทำให้สินค้าสามารถเข้าถึงผู้ใช้ได้มาก มีตัวเลือกเยอะ ส่วนจุดอ่อนก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของแอพพลิเคชั่นที่ยังมีน้อยกว่าค่าย Apple อยู่พอสมควร

3. BlackBerry QNX OS จากค่าย RIM ซึ่งปัจจุบันมีสินค้าออกมาหนึ่งรุ่น นั่นก็คือ BlackBerry Playbook (มี 3 ความจุให้เลือก – 16 GB, 32 GB, 64 GB) โดยมีเวอร์ชั่นที่ใช้ WiFi ได้อย่างเดียว ไม่มีช่องต่อใส่ซิมการ์ดแต่อย่างใด ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ยอดขาย Playbook นั้นไม่ได้เปรี้ยงปร้างอย่างที่ RIM คาดหวังไว้ การใช้ Playbook นั้นถ้าจะให้ดีที่สุด ก็คือผู้ใช้ต้องมีโทรศัพท์ BlackBerry เสียก่อน ก็จะทำให้การต่อเชื่อมข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ อีเมลล์ของคุณ BBM ของคุณ ก็จะทำงานกันได้อย่างดีใน 2 อุปกรณ์ ทั้งไม่ว่าจะใช้บนโทรศัพท์ BlackBerry หรือ Playbook ก็แล้วแต่ ต้องขอบอกก่อนว่าซอร์ฟแวร์ในเวอร์ชั่นปัจจุบันของ Playbook ยังไม่รองรับภาษาไทยอย่างสมบูรณ์แบบ คือยังขาดการแสดงผลเมนูภาษาไทย และแป้นคีย์บอร์ดภาษาไทย แต่คาดว่าจะมีซอร์ฟแวร์ใหม่ออกมาให้อัปเดตกันได้ประมาณเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อทำให้ Playbook ทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบในที่สุด จุดเด่นอีกอย่างสำหรับ Playbook ก็คือการใช้งานแบบ Multi-tasking คือการทำงานในหลายๆ แอพพลิเคชั่น หรือฟังก์ชั่น ในเวลาเดียวกัน อันนี้ต้องขอชม RIM ว่าทำได้ดีมากๆ แต่จุดอ่อนของ Playbook ก็คือการที่มีแอพพลิเคชั่นรองรับอยู่น้อยมากๆ ทำให้เราไม่สามารถใช้งาน Playbook ได้หลากหลายอย่างที่ iPad หรือ Android แท็บเล็ตทำได้ แต่ถ้ารัก BB ก็จริงๆ ก็คงต้องมีสักเครื่องล่ะครับ ราคาก็ถือว่าไม่แพงมาก ยังรับกันไหวอยู่


4. HP WebOS จากค่าย Hewlett Packard นั่นเอง ซึ่ง HP นั้นได้ซื้อกิจการของ Palm มาโดยหวังว่าจะก้าวเข้ามาเป็นผู้นำในตลาดสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต โดยใช้ Web OS เป็นแกนในการขับเคลื่อน แต่ก็ไม่เป็นดังหวัง โดย HP Touch Pad เป็นแท็บเล็ตตัวแรกของ HP ที่เปิดตัวไปเมื่อต้นปี และประสบความล้มเหลวกับยอดขายซึ่งไม่สามารถทำได้อย่างที่คาดไว้ และต่ำกว่าการประเมินการอย่างมาก จน HP ตัดสินใจเลิกการพัฒนาสินค้าสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตไป โดยตัดราคา HP Touch Pad ทิ้งลงมาเหลือเพียงแค่ 3,000 บาทเพื่อทำการเคลียร์สต็อคกันเลย แต่สินค้าของ HP นี้ต้องบอกก่อนว่าไม่มีการนำมาจำหน่ายในประเทศไทยแต่อย่างใด ใครคิดจะซื้อเครื่องหิ้วมาก็คิดให้ดีๆ ก่อนนะครับ ไม่แนะนำเลย เพราะไม่มีใครมาช่วยเหลือสนับสนุนการใช้งานอย่างแน่นอนครับ

5. Windows 7 จากค่าย Microsoft โดยปัจจุบันก็มี Acer ที่บุกตลาดก่อนใครออกรุ่น W500 ออกมาซึ่งเป็นทั้งแท็บเล็ตและมีคีย์บอร์ดด็อคออกมาให้ใช้งานกันแบบลูกผสมกัน เลย โดยใช้บนระบบปฏิบัติการ Windows 7 โดยผู้ใช้สามารถสัมผัสหน้าจอโดยตรงเพียงใช้ปลายนิ้วสัมผัส แต่การตอบรับจากตลาดยังไม่มากเท่าที่ควร เพราะดูแล้วออกจะคอมพิวเตอร์มากไปสักหน่อย แต่ก็เหมาะสำหรับคนที่ชอบความเป็น Windows ก็จะคุ้นเคยกว่า แต่ล่าสุด Microsoft กำลังมุ่งพัฒนา Windows 8 ให้เหมาะสมกับการนำไปใช้เป็นแท็บเล็ตได้ดีกว่านี้ เพื่อที่จะแข่งขันกับ iPad หรือ Android Tablet ในอนาคตต่อไป
แท็บเล็ตวันนี้มีกันกี่แบบ
วันนี้แท็บเล็ตมีให้เลือกกันอยู่ 2 แบบหลักๆ

1. แบบที่รองรับ 3G + WiFi เป็นแบบที่มีช่องใส่ซิมได้ เพื่อให้เราสามารถใช้แท็บเล็ตของเราเชื่อมต่อกับอินเตอร์เนตได้ทุกที่ที่เรา ต้องการตราบใดที่คุณยังมีสัญญาณมือถืออยู่ ซึ่งปัจจุบันรองรับได้ทั้งเทคโนโลยี 3G ความถี่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น 850 MHz (dtac, True Move) 900 MHz (AIS) 2100 (TOT 3G) และเทคโนโลยี GSM บนความถี่ต่างๆ ที่สามารถใช้ได้กับทั้ง dtac, AIS, True Move ว่ากันง่ายๆ ก็คือครบหมดทุกเจ้า แต่ถ้าอยู่ที่บ้านก็แนะนำให้เปิด WiFi ใช้แทน เพื่อลดค่าใช้จ่ายครับ ยกตัวอย่างเช่น iPad, iPad 2, Samsung Galaxy Tab, Samsung Galaxy Tab 10.1, Samsung Galaxy Tab 8.9, Samsung Galaxy Tab 7.7, HTC Flyer, Motorola Xoom, Acer A501, Acer A101, LG Optimus PAD, Dell Streak 5, Dell Streak 7, Huawei Media Pad เป็นต้น แต่เครื่องไหนจะรองรับ 3G ความถี่ใดบ้าง ต้องตรวจสอบกับผู้ผลิตผู้นำเข้าให้ดีๆ นะครับ
2. แบบที่รองรับ WiFi เพียงอย่างเดียว อันนี้ถ้าจะใช้ก็ต้องมีสัญญาณ WiFi ที่เราสามารถใช้บริการได้ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณ WiFi ที่บ้าน ที่สำนักงาน หรือ WiFi สาธารณะที่สามารถซื้อชั่วโมงการใช้งาน แล้วก็สามารถใช้งานได้ทันที โดยปกติผู้ผลิตมักจะทำเป็นสองรุ่นออกมาให้เลือกใช้กันว่าจะเอาแบบ 3G + WiFi หรือ เอาแบบ WiFi อย่างเดียว ซึ่งแบบ WiFi อย่างเดียวก็มักจะมีราคาที่ถูกกว่าในระดับ 3-5 พันบาท ยกตัวอย่างเช่น iPad, iPad2, Samsung Galaxy Tab, Acer A500, Acer A100, Acer W500, Motorola Xoom, BlackBerry Playbook เป็นต้น แต่ถ้าต้องใช้รุ่นที่เป็น WiFi อย่างเดียว ก็อาจจะหาซื้ออุปกรณ์อย่าง Mobile WiFi (ต้องใส่ซิมการ์ด และรองรับ 3G + GSM) พกติดตัวไว้เวลาไปในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณ WiFi ก็สามารถใช้ Mobile WiFi เชื่อมต่อสัญญาณกับเครือข่ายมือถือแล้ว Mobile WiFi ก็จะสามารถปล่อยสัญญาณ WiFi ให้แท็บเล็ตของคุณเชื่อมต่อกับอินเตอร์เนตได้ทันที ซึ่งคุณสามารถเอาไปใช้ได้กับโน้ตบุ้ค หรืออุปกรณ์พกพาอื่นๆ ได้อีกมาก ปัจจุบันมีราคาอยู่ระหว่าง 3-4 พันบาท
ในปัจจุบันแท็บเล็ตที่รองรับทั้ง 3G และ WiFi นั้นมักจะได้รับความนิยมมากกว่า คงเป็นเพราะสามารถนำไปใช้ได้ทุกแห่ง ตราบใดที่ยังมีสัญญาณเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ไม่ว่าจะเป็น 3G หรือ 2G (GSM) และการใช้งานก็เพียงแต่หา Data SIM ของเครือข่ายที่คุณไว้ใจ นำมาใช้ร่วมก็แฮปปี้แล้วครับ แนะนำว่าให้เปิดเป็นแพ็คเกจที่เป็นแบบ Volume based หรือที่คิดค่าใช้จ่ายเป็นขนาดของข้อมูลนะครับ เช่นใช้ได้สูงสุด 3 GB หรือแบบ Unlimited ไปเลยสบายใจไร้กังวลไม่ต้องมากลัวว่าจะเจอเนตรั่วแต่อย่างใด
แล้วเอาแท็บเล็ตไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง

สิ่งหนึ่งที่ควรจะรู้ก่อนตัดสินใจซื้อแท็บเล็ต ก็คือเรื่องประโยชน์ของแท็บเล็ต ไม่ใช่แค่อยากได้อยากมีเท่านั้น ปัจจุบันมีการนำเอาไปใช้ได้มากมายจริงๆ เอาแบบพื้นฐานก่อนว่าทำอะไรได้บ้าง
 อีเมล์ – ใช้งานได้ง่ายสะดวก ซึ่งมีการทำงานแบบ Push Mail นั่นก็คือเมล์ใหม่จะเข้ามาโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปสั่งการใดๆ จะหยิบใช้เมื่อไรก็เพียงแต่กดปุ่มเปิด ก็พร้อมใช้งานทันที ไม่เหมือนคอมพิวเตอร์ที่ถ้าปิดแล้ว กว่าจะเปิดเครื่องขึ้นมาก็ต้องใช้เวลาหลายนาที ครั้นจะไม่ปิดเครื่องแบตเตอรี่ก็หมดเร็วเสียอีก โดยบริการอีเมล์ที่ใช้บนแท็บเล็ตนั้นก็รองรับบริการอีเมล์ได้มากมายหลากหลาย ที่มีการให้บริการกันอยู่ไม่ว่าจะเป็น Hotmail, Gmail, Yahoo Mail ถ้าเป็น iPad ก็จะมีบริการอีเมล์ฟรีอย่าง iCloud mail ให้ใช้หรือจะเป็นระบบอีเมล์ที่นิยมใช้กันในองค์กรอย่าง Microsoft Exchange หรือ Lotus Mail ก็สามารถรองรับได้ทั้งสิ้น เพียงแต่รู้ว่าจะตั้งค่ากันอย่างไรเท่านั้นก็ใช้ได้เลย
• อินเตอร์เนต – เข้าสู่โลกอินเตอร์เนตได้อย่างง่ายดาย เพียงเปิดโปรแกรมอินเตอร์เนตเบราส์เซอร์ แล้วก็ใส่ URL ของเว็บที่เราต้องการ ก็ทำให้เราเชื่อมสู่โลกอินเตอร์เนตได้อย่างง่ายดาย เพียงปลายนิ้วของเรา ไม่ต้องง้อคอมพิวเตอร์กันอีกแล้ว
• ออกาไนเซอร์ส่วนบุคคล – ไม่ว่าจะเป็นสมุดโทรศัพท์ สมุดโน้ต เครื่องคิดเลข ปฏิทินนัดหมาย ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันทั้งสิ้น
• แผนที่นำทาง – ด้วยเทคโนโลยีที่สอดประสานกับ Google Maps ทำให้โลกนี้เล็กลงได้ในมือของเรา ช่วยนำทาง บอกเส้นทาง หรือค้นหาสถานที่ต่างๆ ได้ในทันทีที่เราต้องการรู้
• เอนเตอร์เทนเมนท์ – ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง ก็เพียงโหลดเพลงเข้าไป ก็เป็นเครื่องเล่นเพลงพกพาให้เราไปได้ทุกที่ หรือว่าจะดูหนังเพียงโหลดไฟล์ภาพยนตร์เข้าไป ก็เป็นเครื่องเล่นวิดีโอชั้นดี หน้าจอใหญ่เป็นเพื่อนคู่กายไปได้ทุกที่ที่ต้องการ หรือจะดูผ่านบริการอย่าง YouTube ก็ทำได้ทุกที่ที่คุณสามารถเชื่อมต่อกับโลกอินเตอร์เนต
• ภาพและวิดีโอ – ทำตัวเป็นกล้องดิจิตอลซึ่งถ่ายได้ทั้งภาพนิ่งที่มีความละเอียดที่ดี หรือจะถ่ายภาพวิดีโอที่มีความละเอียดในระดับ HD กันเลยทีเดียว
นอกจากนั้นแท็บเล็ตทั้งหลายในปัจจุบันยังรองรับการติดตั้งแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ เข้าไปในเครื่องได้อีกมากมายขึ้นอยู่กับผู้ใช้ที่จะเลือกหา เลือกใช้กันตามแต่วัตถุประสงค์ที่ต้องการ ซึ่งมีทั้งฟรี และเสียเงิน (ฟรีจะเยอะกว่า) ทำให้เครื่องแท็บเล็ตของคุณกลายเป็นเครื่องมืออย่างที่คุณไม่เคยคาดคิดมา ก่อน ยกตัวอย่างเช่น ทำเป็นเครื่องมิกซ์เสียงเพลง แต่งเพลง เครื่องอ่านหนังสืออิเล็คทรอนิคส์ (E-Book) วิดีโอเกมส์ต่างๆ เครื่องตรวจวัดความดันโลหิต ตัดต่อไฟล์วิดีโอ ทำพรีเซ็นเทชั่น ตรวจเช็คสภาพอากาศ อัปเดตข้อมูลหุ้นพร้อมซื้อขายได้ทันที และอีกมากมายมหาศาลที่เราสามารถประยุกต์แท็บเล็ตของเราให้เห็นเป็นเครื่อง มือที่เป็นประโยชน์ที่เหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกันไป โดยในปัจจุบันมีแอพพลิเคชั่นให้เลือกใช้กันมากมายกว่า 100,000 แอพพลิเคชั่นสำหรับ iPad และอีกมากมายเป็นหมื่นๆ สำหรับ Android Tablet (Android 3.0 Honeycomb) ในขณะนี้
ขนาดสำคัญอย่างไร

เริ่มตั้งแต่การเปิดตัวของ Apple iPad เมื่อปีที่แล้ว ความนิยมของแท็บเล็ตก็แพร่ขยายไปยังผู้ใช้ในวงกว้างจนปัจจุบันมีขนาดหน้าจอ ต่างๆ ออกมาให้เลือกใช้กันมากมาย ซึ่งมักมีคำถามว่าหน้าจอขนาดไหนที่เหมาะสมที่สุด คำตอบก็คือ แล้วแต่การนำไปใช้งาน และถูกใจกันแบบไหนมากกว่า มาดูกันว่าปัจจุบันมีกันกี่ขนาดแล้ว
1. ขนาด 10 นิ้ว อันนี้เป็นขนาดเริ่มต้นที่ Apple พัฒนา iPad ออกมาตั้งแต่เริ่มแรก และปัจจุบันยังคงเป็นขนาดนี้อยู่มาจน iPad2 ซึ่งเป็นขนาดหน้าจอที่เหมาะสมมากๆ ในการใช้งาน และด้วยน้ำหนักที่เรายังพอถือกันไหว (607 กรัม) ก็ยังพออนุโลมให้เราพกพาไปที่ต่างๆ ได้อย่างพอดีเมื่อถืออยู่กับมือ แต่ถ้ามีกระเป๋าพกพาด้วยก็คงจะรู้สึกง่ายมากขึ้นในการที่จะหิ้วไปไหนๆ ขณะที่คู่แข่งสำคัญอย่าง Samsung นำเอา Android เวอร์ชั่น 3.1 มาใส่ใน Galaxy TAB 10.1 ด้วยขนาดที่บางกว่า เบากว่า (565 กรัม) โดยหวังจะโค่นคู่แข่งสำคัญอย่าง iPad ให้ได้ ถ้าว่าไปแล้วถือว่าขนาด 10 นิ้วนั้นมียอดจำหน่ายสูงที่สุดในปัจจุบัน เพราะความนิยมของ iPad นั่นเอง แต่ในบางครั้งเราก็รู้สึกว่ามันหนักพอสมควรเลยเวลาที่ต้องหอบหิ้วอะไรหลายๆ อย่างไปพร้อมกับ iPad จนผู้ใช้ส่วนหนึ่งก็มักจะใช้ iPad อยู่กับบ้านก็เยอะอยู่เหมือนกัน นอกจากนี้ยัง Acer A500, A501, Motorola Xoom ที่ทำ Android แท็บเล็ตออกมาในหน้าจอ 10 นิ้วนี้เช่นกัน
2. ขนาด 7 นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดเริ่มต้นที่มี Android Tablet กันเป็นครั้งแรก โดย Samsung Galaxy Tab เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะมีขนาดที่เล็กถือง่ายพกพาสะดวก แถมยังสามารถใช้เป็นโทรศัพท์ได้อีกด้วย โดยใช้โทรผ่านทางหูฟังแบบมีสายหรือจะเป็น Bluetooth ก็แล้วแต่ ซึ่งในมุมมองของแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้วนั้นถือว่าใช้งานได้คล่องตัวเป็นอย่างมาก ด้วยขนาดของมัน แต่ในมุมมองของการมองเห็นโดยภาพรวม ไม่ว่าจะเป็นการดูเอกสาร หน้าเว็บไซต์ต่างๆ นั้นอาจจะดูแคบและเล็กไปเสียหน่อยเมื่อเทียบกับขนาด 10 นิ้ว แต่ด้วยราคาที่ย่อมเยากว่าก็เป็นตัวที่ทำให้คนเลือกใช้กันอย่างมากมายจนใน ปัจจุบัน ซึ่งล่าสุดทาง Samsung ก็เตรียมอัปเกรดแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้วใหม่ออกมาอีกในเร็วๆ นี้และใช้ Android เวอร์ชั่นแท็บเล็ตอย่าง 3.1 Honeycomb ออกมา โดยมีรุ่น Galaxy Tab 7.7 ที่ใช้จอแบบ Super AMOLED Plus ขนาด 7.7 นิ้ว และบางเบาที่สุดในโลก (บางเพียง 7.9 มม. เบาเพียง 335 กรัมเท่านั้น) เป็นตัวนำ คาดว่าจะมีราคาไม่น่าจะต่ำกว่า 2 หมื่นบาท (แพงที่จอนี่แหละ) ส่วนขนาด 7 นิ้วคาดว่าจะมีออกมาใหม่ในอนาคตอันใกล้ ตอนนี้ก็เริ่มมีภาพหลุดกันออกมาบ้างแล้ว ปัจจุบันเริ่มมีผู้ผลิตต่างๆ พากันพัฒนาแท็บเล็ตตนเองในขนาด 7 นิ้วกันมากมายเช่นกัน ได้แก่ Acer A100, A101, Huawei Media Pad, Dell Streak 7 เป็นต้น ถือว่าเป็นแท็บเล็ตไซส์มหาชนเลยก็ว่าได้
3. ขนาด 8.9 – 9 นิ้ว ถือว่าเป็นหน้าจอขนาดใหม่ที่ทาง Samsung พัฒนาออกมาเป็นเจ้าแรกโดย Galaxy Tab 8.9 นั้นถือว่าเป็นการโยนหินถามทางตลาดกันเลยทีเดียว ด้วยการที่ต้องการสร้างความแตกต่างกับขนาดยอดฮิตปัจจุบันอย่าง 10 นิ้ว โดยขนาดหน้าจอที่เล็กลงเล็กน้อยนั้นไม่ได้ทำให้ความรู้สึกการมองเห็นเปลี่ยน ไปมากนัก แต่ด้วยขนาดที่รู้สึกได้ว่ากระทัดรัดมากขึ้น บางเพียง 8.6 มม.เท่านั้นและเบาเพียง 470 กรัมเท่านั้น ทำให้ความรู้สึกเมื่อแรกสัมผัสกับ Galaxy Tab 8.9 นั้นเป็นความรู้สึกว่า “ใช่เลย” ถ้าต้องพกพาแท็บเล็ตสักหนึ่งตัว และทำงานหลายๆ อย่างได้อย่างจริงๆ จังๆ ถ้าต้องเลือกผมก็คงจะเลือกเจ้าตัวนี้นี่แหละ โดย Galaxy TAB 8.9 นั้นใช้ Android Tablet version 3.1 Honeycomb ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่ออกแบบมาให้เหมาะกับความเป็นแท็บเล็ตอย่างแท้จริง แต่ต้องบอกก่อนว่ารุ่นนี้จะใช้เป็นโทรศัพท์ไม่ได้ เช่นเดียวกับรุ่น 10.1 นะครับ
4. ขนาด 5 นิ้ว เป็นขนาดที่ก้ำกึ่งว่าตกลงแล้วเป็นโทรศัพท์ หรือเป็นแท็บเล็ตกันแน่ ผมขอเรียกว่าเป็นแท็บเล็ตลูกผสมก็แล้วกัน (Hybrid Smart Tablet) เพราะทำงานเป็นทั้งสองอย่างคือเป็นโทรศัพท์ และเป็นแท็บเล็ตด้วยหน้าจอที่ใหญ่กว่าโทรศัพท์สมาร์ทโฟนทั่วไปนั่นเอง ปัจจุบันมี Dell Streak 5 นิ้วที่ออกมานานแรมปีแล้ว สร้างยอดขายได้พอสมควร และล่าสุด Samsung Galaxy Note ที่มีหน้าจอขนาด 5.3 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่าโทรศัพท์สมาร์ทโฟนมากอยู่ แต่คุณสามารถยกขึ้นมาใช้เป็นโทรศัพท์ได้เลย และมีปากกาให้คุณสามารถใช้จดบันทึกต่างๆ ได้ในทันที ก็ถือว่าเป็นขนาดใหม่ที่ทาง Samsung พยายามพัฒนาขึ้นมาเพื่อมุ่งหวังเป็นผู้นำตลาดแท็บเล็ตในตลาดโลกบนทุกขนาดของ หน้าจอเลยทีเดียว
สุดท้ายนี้ก็คงต้องบอกว่าเลือกซื้อแท็บเล็ตกันให้เหมาะสมกับการใช้งาน ควรจะลองไปสัมผัสของจริง ลองถือลองใช้ก่อนที่จะตัดสินใจ น่าจะดีที่สุด และต้องมองดูตัวเองด้วยว่าซื้อมาแล้วจะได้ใช้ไหม ไม่ใช่แค่ตามกระแสตลาด เห็นคนอื่นใช้ เห็นคนอื่นมี ก็อยากมีอยากได้บ้าง โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าจะเอาไปใช้อย่างไร อันนี้ก็ไม่แนะนำ ดูจะเกินความจำเป็นไป และถ้ามีแล้วก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มออกมาอีกหนึ่งซิม ก็ต้องยอมรับในค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นอีกด้วยนะครับ ว่าจ่ายในระยะยาวไหวไหม ซึ่งก็ต้องมีอย่างน้อยเดือนละสองสามร้อยบาทขึ้นไป สุดท้ายขอให้เลือกใช้แท็บเล็ตกันให้เหมาะกับตัวตนของคุณ และใช้กันอย่างมีความสุขนะครับ
และพบกันในงาน “Thailand Mobile Expo 2011 Showcase” 29 กันยายน – 2 ตุลาคม 2554 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ที่เดิมครับ
ที่มา – thailandmobileexpo