วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555

เผยโฉม Intel Studybook แท็บเล็ตเพื่อการศึกษา




 
Intel Studybook

 
         ปัจจุบันแท็บเล็ตได้เข้ามามีบทบาทในเรื่องของการศึกษามากขึ้น เราจะเห็นได้ว่าในบางประเทศนั่นเริ่มให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีประเภทแท็บเล็ต เข้ามาช่วยเป็นสื่อการเรียนการสอนให้กับนักเรียน และล่าสุดยักษ์ใหญ่แห่งวงการคอมพิวเตอร์ที่รู้จักกันดีในนาม อินเทล (Intel) ได้เปิดตัวต้นแบบแท็บเล็ตเพื่อการศึกษาในชื่อ Studybook ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปกรณ์เพื่อการศึกษาในโครงการของอินเทลที่มีชื่อว่า Intel Learning Series เป็นโครงการที่รวมเอาฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการต่าง ๆ มารวมกันเพื่อจุดประสงค์ทางด้านการศึกษาเป็นหลัก และมุ่งเน้นด้านการพัฒนาและเพิ่มประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีให้แก่นักเรียน

 
          สำหรับ Studybook ตัวเครื่องทำด้วยพลาสติกและยาง ทำให้ทนทานต่อการตกจากที่สูงไม่เกิน 1 เมตร มีขนาดหน้าจอ 7 นิ้ว ความละเอียด 1024x600 พิกเซล มาพร้อมกับซีพียู Atom Z650 แรม 1 GB และมีความจุตั้งแต่ 32 GB - 128 GB สามารถใส่ซิมการ์ดได้ พร้อมด้วยกล้องถ่ายภาพทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีพอร์ตต่าง ๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น พอร์ต HDMI, USB 2.0 และตัวเครื่อง Studybook มีน้ำหนักเพียง 525 กรัม ส่วนทางด้านซอฟต์แวร์ สามารถเลือกได้ว่าจะใช้ระบบปฏิบัติ Windows 7 หรือระบบปฏิบัติการ Android 3.0 และสามารถดาวน์โหลดแอพฯ ฟรีเพื่อใช้ในการศึกษา เช่น Kno e-reader หรือ LabCam สำหรับใช้ในการการทดลองวิทยาศาสตร์ โดยสามารถต่อเชื่อมกับกล้องความละเอียด 2 ล้านพิกเซลที่ติดอยู่ด้านหลังแท็บเล็ตเพื่อใช้แทนกล้องจุลทรรศน์ได้ ชมภาพตัวอย่างด้านล่าง












 
Intel Studybook

          สำหรับเรื่องราคา ทางอินเทลยังไม่ได้กำหนดชัดเจน แต่คาดว่าทางผู้ผลิตที่ออกแบบแท็บเล็ตตัวนี้ จะคุมราคาขายด้วยราคาไม่เกิน $200 หรือประมาณ 6,000 บาท หรืออาจจะถูกกว่า อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงต้นแบบเท่านั้นแต่เชื่อว่าอีกไม่นานเราคงจะได้เห็นแท็บเล็ต Studybook ตัวนี้ เริ่มใช้งานในหลาย ๆ ประเทศและต้องรอลุ้นว่าประเทศไทยของเรา จะมีใครสนใจเข้าร่วมโครงการนี้กับอินเทลหรือไม่ ต้องคอยติดตาม

การแก้ปัญหาเบื้องต้น เมื่อ มือถือ ตกน้ำ



น้ำคือสิ่งที่เป็นศัตรูตัวฉกาจสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด โทรศัพท์มือถือ ก็เช่นกัน หากต้องเผชิญกับน้ำเมื่อไหร่ แม้เพียงจำนวนอันน้อยนิด ก็อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายได้มากอย่างคาดไม่ถึง แต่อย่างไรก็ตาม หากเกิดอุบัติเหตุสุดวิสัยที่ทำให้ มือถือตกน้ำ หรือต้องเจอกับน้ำขึ้นมา ก็ยังพอมีวิธีแก้ไขเบื้องต้นอยู่บ้างเหมือนกัน และทำได้ไม่ยาก ดังนี้

1. พยายามตั้งสติให้ดี อย่าตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะคงไม่เป็นผลดีนัก
2. เมื่อนำ มือถือ ออกมาจากแหล่งน้ำได้แล้ว พึงจำไว้เสมอว่าอย่าเพิ่งกดปุ่มเปิด-ปิดเครื่องโดยเด็ดขาด เนื่องจากอุปกรณ์ต่างๆ ยังเปียกน้ำ หรือยังมีความชื้น การกดปุ่มเปิด-ปิดเครื่องอาจทำให้เกิดการลัดวงจรและเสียหายหนัก หรือเสียหายถาวรได้
3. ให้รีบถอดส่วนประกอบต่างๆ ของ มือถือ ออกจากกันอย่างรวดเร็ว (ส่วนประกอบที่สามารถถอดได้เองตามปกติ) ไม่ว่าจะเป็น ซิมการ์ด, แบตเตอรี่, หน้ากาก, ฝาหลัง, ฯลฯ
4. เมื่อถอดส่วนประกอบต่างๆ เท่าที่สามารถถอดได้เรียบร้อยแล้ว อาจจะใช้การสลัดน้ำด้วยแรงพอประมาณ รวมถึงให้นำผ้า (ชนิดที่ไม่มีขน) หรือกระดาษทิชชู (คุณภาพดี ไม่เป็นขุย) มาซับน้ำที่เกาะอยู่ตามจุดต่างๆ ให้แห้งที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรืออาจจะใช้พัดลมช่วยเป่าด้วยก็ได้ ซึ่งขั้นตอนนี้อาจใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน
5. สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้คือ ไม่ควรใช้ไดร์เป่าผมเป่าให้แห้งเด็ดขาด เนื่องจากลมจากไดร์เป่าผมมีความร้อนสูง อาจจะทำให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์ หรือวงจรอิเล็กทรอนิกส์ภายในได้โดยง่าย
6. และสิ่งสำคัญอีกประการคือไม่ควรนำ มือถือ และอุปกรณ์ต่างๆ ไปตากแดด เพื่อหวังให้แห้งเร็วขึ้น เพราะความร้อนจากแสงแดดนั้นสูงเกินไปสำหรับ มือถือ และอุปกรณ์ต่างๆ
7. เมื่อสังเกตุว่า มือถือ และอุปกรณ์ต่างๆ แห้งพอสมควรแล้ว ก็ให้นำ มือถือ และอุปกรณ์ต่างๆ ไปวางทิ้งไว้ในถังข้าวสาร หรือในถุงพลาสติกที่มีซิลิก้าเจลบรรจุไว้ ทั้งนี้เพื่อช่วยดูดความชื้นที่อาจจะยังหลงเหลืออยู่ในส่วนของ
อุปกรณ์ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ โดยอาจทิ้งไว้เป็นระยะเวลาประมาณ 2-3 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าความชื้นได้หายไปหมดแล้วจริงๆ
8. เมื่อทุกขั้นตอนข้างต้นผ่านพ้นไปด้วยดี และแน่ใจว่าตัวเครื่อง, อุปกรณ์ทุกอย่าง รวมถึงทุกซอกทุกมุม ทั้งภายใน และภายนอก ปราศจากน้ำและความชื้นแล้ว ก็ให้นำซิมการ์ด, แบตเตอรี่, หน้ากาก, ฝาหลัง, ฯลฯ มาประกอบกลับเข้าที่ตามเดิม
9. หลังจากประกอบตัวเครื่องเรียบร้อยดีแล้ว ยังไม่ควรชาร์จแบตเตอรี่ทันที เนื่องจากวงจรภายในอาจจะยังไม่พร้อมที่จะรับกระแสไฟฟ้า
10. จากนั้นให้ลองเปิดเครื่อง หากสามารถเปิดได้ก็ให้ตรวจสอบอาการผิดปกติอื่นๆ ในการใช้งานพื้นฐานทันที เช่น หน้าจอติดหรือไม่, โทรออกโทรเข้าได้หรือไม่, ลำโพงดังหรือไม่, ปุ่มกดใช้งานได้ทุกปุ่มหรือไม่, กล้องถ่ายได้หรือไม่, ตรวจเจอการ์ดหน่วยความจำหรือไม่, ยังใช้งานเมนูหรือฟังก์ชันต่างๆ ได้ปกติหรือไม่ ฯลฯ
11. หากลองใช้งานดูแล้วไม่พบปัญหาใดๆ สามารถใช้งานได้ตามปกติ ก็ถือว่าเป็นโชคดีอย่างมาก แต่อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะโชคดีไม่เกิดปัญหาใดๆ หรือโชคร้ายต้องเจอกับปัญหาตามมา ทางที่ดีก็ควรจะต้องนำเครื่องไปไปให้ศูนย์ หรือช่างผู้ชำนาญ ช่วยจัดการให้อีกครั้งหนึ่ง

แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว แม้จะมีการดูแลดีและรวดเร็วแค่ไหน หลังจากที่ มือถือ สัมผัสกับน้ำ ผู้ใช้ก็มักจะพบกับปัญหาที่ตามมาอยู่เสมอ อาจจะน้อยหรือมาก ไปอาจโชคร้ายจนถึงขั้นเสียถาวร ซึ่งก็คงจะต้องทำใจกันเอาไว้ล่วงหน้าด้วยว่าคุณอาจจะไม่โชคดีก็ได้ ดังนั้นจึงควรระวังไม่ให้ มือถือ ตกน้ำ หรือสัมผัสกับน้ำ เสียตั้งแต่แรกก็จะดีที่สุด

Oska (Thaimobilecenter Chief Editor)

iPhone 5 (ไอโฟน 5) รองรับการถ่ายภาพแบบ 3 มิติ ด้วยเทคโนโลยีที่ Apple คิดค้นเอง และจดสิทธิบัตรแล้ว


iPhone 5
ไอโฟน 5 (iPhone 5)
[3-เมษายน-2555] กลับมาอัพเดทกับข่าวคราว ไอโฟน 5 (iPhone 5) ข่าวลือ ไอโฟน 5 (iPhone 5) ข่าวหลุด ไอโฟน 5 (iPhone 5) ภาพหลุด ไอโฟน 5 (iPhone 5) กันเหมือนเช่นเคย คาดว่า หลายๆ ท่านคงจะได้ทราบ สเปค ไอโฟน 5 (iPhone 5) อย่างไม่เป็นทางการกันไปบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็น จอแสดงผลของ ไอโฟน 5 (iPhone 5) จะใหญ่ขึ้นกว่าเดิม คาดว่า น่าจะมีขนาด 4 นิ้ว หรือใหญ่กว่า, ระบบประมวลผลแบบ Quad-core Processor ชิป Apple A6, รองรับ NFC รวมไปถึงกระจกแบบ Gorilla Glass 2 ด้วย
โดยข่าวอัพเดท ไอโฟน 5 (iPhone 5) ล่าสุดนี้ น่าจะเป็นการแสดงให้เห็นถึง พัฒนาการ ของ ไอโฟน 5 (iPhone 5) มากขึ้นไปอีก เนื่องจากมีข่าวว่า ไอโฟน 5 (iPhone 5) จะใช้กล้องที่สามารถถ่ายภาพ ทั้งภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว แบบ 3 มิติได้ครับ
จริงๆ แล้ว การนำเทคโนโลยีการถ่ายภาพแบบ 3 มิติ หรือ 3D นั้น มาใช้บนสมาร์ทโฟนนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะในปีที่ผ่านมา มีสมาร์ทโฟนที่เปิดตัว พร้อมกับการถ่ายภาพแบบ 3 มิติกันหลากหลายรุ่นเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น LG Optimus 3D หรือ HTC EVO 3D แต่เทคโนโลยีการถ่ายภาพแบบ 3 มิติบน ไอโฟน 5 (iPhone 5) นั้น แหล่งข่าวได้เปิดเผยว่า แตกต่างจากสมาร์ทโฟน 3 มิติรุ่นอื่นๆ โดยเป็นเทคโนโลยีที่ทาง Apple คิดค้นขึ้นเอง และได้ทำการจดสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับรายละเอียดของ เทคโนโลยีการถ่ายภาพแบบ 3 มิติ ที่ระบุบนสิทธิบัตรนั้น นั่นก็คือ ขณะที่ผู้ใช้งานทำการถ่ายวิดีโออยู่นั้น ระบบเซนเซอร์จะทำการคำนวณระยะความลึก และพื้นผิว เพื่อทำการสร้างโมเดลเชิง 3 มิติ จากนั้น ทั้งภาพหรือวิดีโอจะถูกจับคู่ให้เข้ากับ โมเดลเชิง 3 มิติ และรวมกันเป็นภาพเชิง 3 มิติขึ้นมาครับ
ถ้าหาก Apple ได้ทำเทคโนโลยีดังกล่าว มาใช้กับ ไอโฟน 5 (iPhone 5) ได้ทัน ปลายปีนี้ เราคงได้พบกับ กล้องบน ไอโฟน 5 (iPhone 5) ที่สามารถถ่ายภาพแบบ 3 มิติได้ครับ รวมไปถึง iPad รุ่นใหม่ ที่จะเปิดตัวในปี 2013 อีกด้วย - t3.com
สำนักข่าว iMore ได้เปิดเผยว่า ไอโฟน 5 (iPhone 5) นั้น จะมีขนาดหน้าจอไม่แตกต่างไปจาก ไอโฟน 4S (iPhone 4S) ซักเท่าไหร่ อาจจะขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น (และไม่น่าจะถึง 4.6 นิ้ว) แต่จุดที่น่าสนใจก็คือ Dock Connector บน ไอโฟน 5 (iPhone 5) จะมีการเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ครับ ซึ่งจะเปลี่ยนให้มีขนาดที่เล็กลง เป็นแบบ Micro Dock Connector แทน
ก่อนหน้านั้น เคยมีข่าวลือออกมาว่า Apple ไม่ค่อยพอใจกับขนาดของ Dock Connector เท่าที่ควร เนื่องจากกินเนื้อที่ภายใน (ข่าวเก่า) จึงอยากจะเปลี่ยน Dock Connector ให้มีขนาดที่เล็กลงครับ
นอกจากนี้ iMore ยังได้เผยว่า ไอโฟน 5 (iPhone 5) จะเปิดตัวในไตรมาสที่ 3 นี้ และรองรับการใช้งานเครือข่าย LTE อีกด้วย - macrumors.com
สำหรับชื่อของ iPad รุ่นใหม่ ที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า The new iPad (iPad 3) ไม่ใช่ iPad HD ตามข่าวลือ ทำให้ในตอนนี้ กระแสข่าวของ ไอโฟน 5 (iPhone 5) ที่คาดว่า จะเปิดตัวในปลายปีนี้ เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งนักวิเคราะห์ ได้ประเมินว่า ไอโฟนรุ่นใหม่ ที่คาดกันว่า น่าจะชื่อ ไอโฟน 5 (iPhone 5) นั้น อาจจะไม่ได้ใช้ชื่อนี้อีกต่อไปครับ แต่น่าจะเป็น "The new iPhone" ตามอย่าง The new iPad (iPad 3) นั่นเอง
โดยเว็บไซต์ 9to5Mac อ้างว่า แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับ Apple ได้เผยว่า มีความเป็นไปได้อย่างมาก ที่ Apple จะเรียก ไอโฟน 5 (iPhone 5) ว่า "The new iPhone - t3.com
สำหรับชิป Apple A5X ที่ใช้บน The new iPad (iPad 3) ที่เน้นการใช้งานด้านกราฟฟิคเสียส่วนมาก เนื่องจาก GPU ที่ใช้บน The new iPad (iPad 3) มีประสิทธิภาพระดับ Quad-core Processor ทำให้ The new iPad (iPad 3) นั้น สามารถใช้งานกราฟฟิค บนหน้าจอความละเอียดระดับ Retina Display ได้อย่างสบายๆ แต่นักวิเคราะห์ท่านหนึ่ง ได้เผยว่า ชิป Apple A5X นั้น มีความเป็นไปได้ที่ Apple จะผลิตมาเฉพาะ The new iPad (iPad 3) เท่านั้น เนื่องจาก ไอโฟน 5 (iPhone 5) หรือ The new iPhone ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้งานด้านกราฟฟิคหนักขนาดนั้น แต่น่าจะเป็นชิปตัวใหม่ ที่ใช้สถาปัตยกรรมขนาด 28 นาโนเมตรแทน ที่นอกจากจะช่วยทำให้ประสิทธิภาพในการเพิ่มขึ้นแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนในการผลิตอีกด้วยครับ
ส่วนสาเหตุที่ Apple ต้องรีบเข็น The new iPad (iPad 3) มาเปิดตัวกับชิป Apple A5X เป็นเพราะว่า Apple รอชิปตัวใหม่ ที่ใช้สถาปัตยกรรมขนาด 28 นาโนเมตร ไม่ไหวนั่นเอง - MacWorld
กำหนดการเปิดตัว ไอโฟน 5 (iPhone 5)
สำหรับกำหนดการเปิดตัว ไอโฟน 5 (iPhone 5) นั้น แหล่งข่าวในต่างประเทศหลายสำนัก ไม่ว่าจะเป็น Macotakara จากญี่ปุ่น, Macrumors และ iMore ค่อนข้างให้ข้อมูลที่ตรงกัน โดยระบุว่า ไอโฟน 5 (iPhone 5) จะเปิดตัวในช่วงเดือนกันยายน - ตุลาคม ในปีนี้อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นช่วงเวลาครบรอบ Product cycle กับการเปิดตัว ไอโฟน 4S (iPhone 4S) พอดี
โดยเว็บไซต์ iMore นั้น เคยให้ข้อมูลเกี่ยวกับ The new iPad (iPad 3) ไว้ว่า จะเปิดตัวในวันที่ 7 มีนาคม ที่จะถึงนี้อีกด้วยครับ
สเปค ไอโฟน 5 (iPhone 5)
สเปคของ ไอโฟน 5 (iPhone 5) ตามข่าวลือในตอนนี้ ก็คือ หน้าจอทัชสกรีนแบบ Glass to glass หรือ Gorilla Glass 2 ซึ่งหน้าจอจะมีขนาดใหญ่ถึงประมาณ 4 นิ้ว ใช้ชิพเซ็ท Apple A6 แบบ ARM Quad-core Processor รวมไปถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพของกล้องถ่ายรูปด้านหลัง ที่คาดว่า น่าจะมีความละเอียดสูงกว่า 8 ล้านพิกเซล บน ไอโฟน 4S (iPhone 4S) อย่างแน่นอน นอกจากนี้ จะมีการเพิ่ม RAM และหน่วยความจำในตัวเครื่องอีกด้วย
นอกจาก ไอโฟน 5 (iPhone 5) จะมีการปรับปรุงสเปคดังที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว ยังมีข้อมูลระบุอีกว่า ไอโฟน 5 (iPhone 5) จะชูจุดเด่นด้าน NFC เป็นหลัก ถึงแม้ว่า เทคโนโลยีนี้ น่าจะถูกนำไปใช้กับ ไอโฟน 4S (iPhone 4S) ก็ตาม (แต่สุดท้ายก็ยังไม่มี) ทำให้เกิดกระแสต่างๆ นานาว่า NFC น่าจะพร้อมแล้วสำหรับ ไอโฟน 5 (iPhone 5) โดยจะเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมกับบริษัท Mastercard อีกด้วย
ล่าสุด ได้มีนักออกแบบจาก Studio Antonio De Ros ได้ออกแบบภาพ mock up ไอโฟน ที่มีชื่อว่า iPhone SJ โดยตัวอักษร SJ นั้น ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Steve Jobs โดยดีไซน์และสเปคนั้น คล้ายๆ ไอโฟน 5 (iPhone 5) ตามข่าวลือ นั่นก็คือ หน้าจอใหญ่ขึ้น ใช้ชิพประมวลผล Apple A6 แต่กล้องบน iPhone SJ นั้น มีความละเอียดถึง 10 ล้านพิกเซล ซึ่งเยอะกว่า ไอโฟน 5 (iPhone 5) เสียอีกครับ
อย่างไรก็ดี iPhone SJ ยังไม่ได้รับการยืนยันว่า จะเป็นต้นแบบของ ไอโฟน 5 (iPhone 5) หรือไม่ (อ่านข่าว iPhone SJ เพิ่มเติม คลิ๊กที่นี่)
(หมายเหตุ: รูปด้านบน ใช้สำหรับการประกอบข่าวเท่านั้น ไม่ใช่ iPhone 5 เครื่องจริง)
 ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ: Techmoblog

พรีเซนต์งานด้วยมายากลและไอแพดใหม่



ถ้าใครกำลังมองหาวิธีการนำเสนองานด้วยไอแพดอยู่ ลองดูเค้าสองคนนี้เป็นตัวอย่างสิ
Charlie Caper และ Erik Rosales สองนักมายากลชาวสวีเดนได้นำไอแพดตัวใหม่ 7 เครื่องมานำเสนอจุดเด่นของกรุงสต็อกโฮล์มได้อย่างน่าสนใจ ที่ใครเห็นก็ละสายตาไปไม่ได้





Credit :  http://dailygizmo.tv/tag/presentation/

หุ่นยนต์ที่สร้างพลังงานได้เองแบบไม่มีวันหมด



หุ่นยนต์ที่สร้างพลังงานได้เองแบบไม่มีวันหมด


หุ่นยนต์แมงกะพรุนตัวนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้สำรวจ ตรวจตราและช่วยกู้ภัยทางน้ำ ที่สำคัญกว่านั้นคือมันใช้พลังงานในการขับเคลื่อนจากน้ำรอบๆตัวที่มันว่ายอยู่ค่ะ
นี่เป็นอีกกรณีนึงที่นักวิทยาศาสตร์ได้หยิบยืมความรู้จากธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์ นักวิทยาศาสตร์จาก University of Texas ได้ตัดสินใจสร้างหุ่นยนต์ในรูปแบบของแมงกะพรุนขึ้นมา ซึ่งมันถือว่าเป็นสัตว์ที่ว่ายน้ำได้มีประสิทธิภาพที่สุดชนิดนึงเลยล่ะ
ล่าสุด พวกเค้าได้คิดค้นวิธีการให้พลังงานหุ่นยนต์แบบใหม่ล่าสุดให้กับเจ้าหุ่นยนต์ตัวนี้ขณะที่ว่ายอยู่ในน้ำ ด้วยการใช้ platinum coated carbon nanotubes ทำให้ Robojelly สามารถสร้างพลังงานเชื้อเพลิงจากไฮโดรเจนที่อยู่มากมายมหาศาลในน้ำที่อยู่รอบตัวได้
ในการแยกเชื้อเพลิงไฮโดรเจนออกจากน้ำสามาถทำได้โดยใช้การเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของแมงกะพรุน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการจำลองกล้ามเนื้อประดิษฐ์มาใส่ในหุ่นยนต์เพื่อใช้ในการว่าย ด้วยการออกแบบให้หุ่นตัวนี้เหมือนกับแมงกะพรุนจริงๆ จึงทำให้มันดึงน้ำเข้าไปในทุกส่วนของร่างกายได้ หลังจากนั้นก้พ่นออกมาเพื่อใช้ในการขับเคลื่อน
เมื่อหุ่นดึงน้ำเข้าไปให้เคลื่อนที่ผ่าน nanotubes ในตัวก็จะเกิดปฏิกิริยาคายความร้อน (exothermic reaction) จากการกระบวนการแยกไฮโดรเจนและออกซิเจน ความร้อนที่เกิดขึ้นนี้สามารถนำไปเปลี่ยนให้กลายเป็นพลังงานที่สามารถนำมาใช้งานได้ ในทางทฤษฎีแล้วจะทำให้มันสามารถเคลื่อนที่อย่างไม่จำกัดด้วยพลังงานที่ผลิตขึ้นเอง แต่ในทางปฏิบัติแล้วยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ยังเป็นอุปสรรคอยู่ แต่ก็ถือว่าเป็นแนวความคิดที่น่าสนใจทีเดียว
ตอนนี้ยังไม่มีข่าวว่าหุ่นยนต์ตัวนี้จะพร้อมนำมาใช้กันจริงๆเมื่อไหร่ แต่โปรเจคนี้ก็ถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและหุ่นยนต์เลยค่ะ





Credit : http://dailygizmo.tv/tag/university-of-texas/